เมื่อพูดถึง “สแตนเลส” หลายคนอาจนึกถึงโลหะสีเงินเงางามที่ไม่เป็นสนิมง่าย แข็งแรง และทนทาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว สแตนเลสไม่ได้มีแค่แบบเดียว แต่มีหลายเกรด ซึ่งแต่ละเกรดก็มีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับเกรดของสแตนเลสยอดนิยม พร้อมเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่าง เพื่อช่วยให้คุณเลือกใช้ได้อย่างถูกต้อง
“เกรด” ของสแตนเลสคือรหัสที่ระบุส่วนผสมของโลหะ ซึ่งส่งผลต่อความแข็งแรง ความทนทานต่อการกัดกร่อน ความสามารถในการขึ้นรูปเชื่อม และการใช้งานโดยรวม โดยเกรดที่พบได้บ่อยในงานอุตสาหกรรมและครัวเรือนมีดังนี้:
จุดเด่น: ทนต่อการกัดกร่อนสูง ไม่เป็นสนิมง่าย
การใช้งาน: อุปกรณ์ในครัว เช่น หม้อ จาน ซิงก์ล้างจาน เฟอร์นิเจอร์ภายใน
ข้อควรระวัง: ไม่ทนต่อสารเคมีรุนแรง เช่น กรดเกลือ
จุดเด่น: เพิ่มโมลิบดีนัม (Molybdenum) ช่วยให้ทนต่อการกัดกร่อนจากคลอไรด์ได้ดีขึ้น
การใช้งาน: งานในทะเล อุตสาหกรรมเคมี อุปกรณ์แพทย์
ข้อควรระวัง: ราคาสูงกว่าเกรด 304
จุดเด่น: ราคาย่อมเยา เหมาะกับงานตกแต่ง
การใช้งาน: มือจับประตู ของตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ภายใน
ข้อควรระวัง: ทนสนิมได้น้อยกว่าเกรด 304 และ 316 ไม่เหมาะกับการใช้งานกลางแจ้งหรือโดนน้ำบ่อย
จุดเด่น: มีคุณสมบัติแม่เหล็ก ต้านการกัดกร่อนได้ในระดับปานกลาง
การใช้งาน: เครื่องใช้ไฟฟ้า เตาอบ ตู้เย็น
ข้อควรระวัง: ไม่ทนต่อการกัดกร่อนเท่าเกรด 304
แม้จะเรียกเหมือนกันว่า “สแตนเลส” แต่แต่ละเกรดก็มีจุดเด่น จุดด้อย และความเหมาะสมที่แตกต่างกัน การเลือกใช้ให้เหมาะกับประเภทของงานไม่เพียงแต่ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและยืดอายุการใช้งานของวัสดุอีกด้วย หากคุณต้องการความทนทานและใช้งานกลางแจ้ง เกรด 304 หรือ 316 คือคำตอบ แต่หากใช้งานทั่วไปในร่ม เกรด 201 หรือ 430 ก็อาจเพียงพอ